วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

เล่นเกมส์เป่ายิ้งฉุบกับหุ่นยนต์เบอร์ตี้ เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการเปิดตัวหุ่นยนต์เบอร์ตี้ที่...


เมื่อต้นสัปดาห์ที่ ผ่านมา ได้มีการเปิดตัวหุ่นยนต์เบอร์ตี้ที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยหุ่นยนต์เบอร์ตี้ถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นตัวช่วยในการเก็บข้อมูลของนักวิจัยใน การวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมหรือปฏิกิริยาตอบรับของมนุษย์ที่มีต่อหุ่นยนต์ใน อนาคต ถ้าหุ่นยนต์มีส่วนสำคัญในการดำรงชีวิตประจำวันมากขึ้น

หุ่นยนต์ เบอร์ตี้ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้สามารถทำกิจกรรมง่ายๆกับคนได้ อย่างเช่นการเล่นเกมส์เป่ายิ้งฉุบกับเด็กๆ หรือการพูดจาตอบโต้กับผู้คน โดยทางทีมผู้พัฒนาวางแผนที่จะทำการพัฒนาหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์หรือ Humanoid Robot ที่จะสามารถทำกิจกรรมหรือมีพฤติกรรมที่คล้ายคลึงกับคนในแบบที่เป็นธรรมชาติ มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้


หุ่น ยนต์เบอร์ตี้ ถูกพัฒนาในห้องทดลองในเมืองบริสทอล (Bristol Robotics Laboratory) และชื่อของหุ่นยนต์เบอร์ตี้ก็มีชื่อย่อมาจาก BERTI = Bristol Elumotion Robotic Torso 1 ซึ่งจุดเด่นของหุ่นยนต์เบอร์ตี้ก็คือการใช้งานของแขนได้คล้ายกับการทำงานของ แขนของคน รวมไปถึงส่วนของนิ้วอีกด้วย โดยหุ่นยนต์เบอร์ตี้จะเป็นหุ่นยนต์ตัวต้นแบบในการนำไปพัฒนาอุปกรณ์จำพวกแขน เทียมให้กับคนที่ประสบอุบัติเหตุเกี่ยวกับแขนและไม่สามารถใช้การได้ มากไปกว่านั้นหุ่นยนต์เบอร์ตี้ยังจะสามารถนำไปปรับใช้กับงานที่ค่อนข้างมี ความเสี่ยงเป็นอย่างมากสำหรับคน ดังเช่นงานเหมือง หรืองานที่ต้องมีการสัมผัสกับสิ่งที่เป็นอันตรายต่อคน

หุ่นยนต์ เบอร์ตี้จะอยู่ต้อนรับผู้มาเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์เป็นเวลา 1 อาทิตย์ โดยคนจะสามารถเล่นเกมส์เป่ายิ้งฉุบที่แสดงการทำงานของแขนและนิ้วของหุ่นยนต์ ได้อย่างสมบูรณ์แบบนั้นด้วยการสวมใส่ถุงมือที่มีการติดตั้งตัวเซนเซอร์พิเศษ มากไปกว่านั้นหุ่นยนต์เบอร์ตี้จะสามารถพูดคุยด้วยข้อความสั้นๆ และทำการจับมือกับผู้คนได้ จากนั้นผู้คนที่ได้สัมผัสกับหุ่นยนต์เบอร์ตี้จะถูกสอบถามเพื่อทำการเก็บ ข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานของหุ่นยนต์เบอร์ตี้โดยจะเน้นทางด้านความเป็น ธรรมชาติของหุ่นยนต์

ราคาของ หุ่นยนต์เบอร์ตี้อยู่ที่ 200,000 ปอนด์ในส่วนของอุปกรณ์ที่นำมาสร้าง แต่ในส่วนของการสร้างนั้นนักวิทยาศาสตร์ผู้พัฒนาระบุว่าไม่สามารถระบุค่าใช้ จ่ายได้ แต่มันก็เป็นการคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปในการสร้างหุ่นยนต์เบอร์ตี้ขึ้นมา


ที่ มา

http://www.physorg.com/news154101898.html

จงนอนให้ครบ 8 ชั่วโมง การสำรวจของมูลนิธิการนอนหลับแห่งชาติสหรัฐฯ พบว่า...


จงนอนให้ครบ 8 ชั่วโมง

การสำรวจของมูลนิธิการนอนหลับแห่งชาติสหรัฐฯ พบว่าคนอเมริกันนั้นนอนน้อยกว่าเมื่อก่อน โดยบางคนนอนน้อยลงเพราะปัญหาทางเศรษฐกิจ บางคนนอนน้อยลงเพราะนอนดึกมากขึ้นและต้องตื่นเช้ามากขึ้น บางคนมีปัญหาการหยุดหายใจระหว่างนอนหลับ (sleep apnea) และที่เหลือหลับไม่ลงเพราะคู่ของตนกรน แต่อันตรายนั้นก็เหมือนกันสำหรับทุกคน มาร์ค ออพพ์ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน กล่าว เขายังเป็นนักเขียนอาวุโสของงานวิจัยเกี่ยวกับการนอนหลับในวารสาร ประสาทวิทยา Nature Reviews Neuroscience

"เรานอนหลับน้อยลงเรื่อย ๆ และนั่นเป็นการทำร้ายตัวเอง" ออพพ์กล่าว

"แม่ของคุณบอกคุณเสมอว่า ถ้านอนไม่พอ คุณจะป่วย ตอนนี้เรามีหลักฐานที่น่าสนใจว่านั่นเป็นความจริง"

คุณฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดหรือยังในปีนี้? มันได้ผลหรือไม่? หลายงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยชิคาโก้ และมหาวิทยาลัยลูเบก (University of Lubek) ในเยอรมนี แสดงให้เห็นว่าแม้การอดนอนเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ก็ส่งผลต่อภูมิคุ้มกันโรค โดยหากคุณอดนอนเป็นเวลาหนึ่งคืน มันจะส่งผลต่อความสามารถในการป้องกันโรคของร่างกายไปเป็นเวลา 30 วัน

ออพพ์อธิบายว่า "สมมติว่าคุณทำงานกะดึก แล้วต้องอยู่ทำงานทั้งคืนที่โรงพยาบาล สมมติว่าเป็นช่วงไข้หวัดระบาด คุณแวะฉีดยาก่อนกลับบ้าน แต่ภูมิคุ้มกันของคุณก็ลดต่ำจากการอดนอน แล้ววัคซีนก็อาจจะไม่มีประสิทธิภาพมากขนาดนั้น"พวกเราส่วนมากพลาดไป

เพียงร้อยละ 28 ของคนอเมริกันเท่านั้นที่นอนหลับครบแปดชั่วโมง ซึ่งน้อยกว่าจพนวนร้อยละ 38 ในปี พ.ศ. 2544 จากรายงานของมูลนิธิฯ และร้อยละ 20 นอนหลับคืนละไม่ถึงหกชั่วโมง

สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ ประมาณไว้ว่ามีคนอเมริกันกว่า 70 ล้านคนที่ต้องเผชิญกับปัญหาเรื้อรังเกี่ยวกับการนอนหลับ หรือปัญหานอนหลับไม่ต่อเนื่อง

"เรานอนดึกกันมากขึ้น" ออพพ์กล่าว "เราทำงานนานขึ้น เราต้องเดินทางนานขึ้น แล้วเราก็นอนหลับน้อยกว่าความต้องการโดยธรรมชาติ เรากำลังพบความชัดเจนมากขึ้นจากการศึกษาในระดับที่ใหญ่ขึ้นว่า การนอนน้อยส่งผลเสียต่อสุขภาพ"

แล้วเราควรนอนนานเท่าใดในแต่ละคืน?


"มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือมากว่าความต้อง การโดยธรรมชาติของมนุษย์นั้นคือ 8 ชั่วโมง" ออพพ์กล่าว

การอดนอนนั้น เกี่ยวข้องกับน้ำหนักตัวที่มากเกินไปและโรคเบาหวาน

ความเสี่ยงต่อ อาการหัวใจวายนั้นเพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 45 ในผู้ที่นอนหลับน้อยกว่า 5 ชั่วโมงเป็นประจำ

การสำรวจของมูลนิธิฯ ยังบอกอีกว่า:

• มากกว่าครึ่งของผู้ใหญ่ทั้งหมด (ร้อยละ 54) เคยขับรถขณะง่วงนอนอย่างน้อย 1 ครั้งในปีที่ผ่านมา และร้อยละ 28 กล่าวว่าพวกเขาเคยสัปหงกหรือเผลอหลับในขณะขับรถ

• ร้อยละ 27 นอนไม่หลับในเดือนที่ผ่านมาเพราะความกังวลเรื่องเงิน

คิม คาเนีย ผู้รับจำนองวัย 40 ปีจากเมืองเซ้าธ์ฟีลด์ มิชิแกน มีลูกสามคน เธอกล่าวว่ามันยากมากที่จะนอนหลับให้สนิท เธอเชื่อว่ามันจะไปเป็นอย่างนั้นจนกว่าลูก ๆ ของเธอจะโตและย้ายออก เธอเข้านอนเวลาห้าทุ่ม แต่ไม่เคยหลับอย่างสงบเลย

"ฉันมักจะกระสับ กระสายและเอียงตัวไปมา และได้ยินเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดในบ้าน" คาเนียกล่าว เธอต้องตื่นเวลาตีห้าสิบห้านาที เพื่อปลุกลูกสาว จอร์แดน วัย 16 ปีให้ไปโรงเรียน เธอพยายามกลับมาหลับต่ออีกหนึ่งชั่วโมงก่อนที่จะต้องตื่นขึ้นมาปลุกลูกสาว อีกคน จัซมิน วัย 12 ปีไปโรงเรียน "ฉันหลับไม่สบาย" คาเนียกล่าว "มันทำให้ฉันรู้สึกเหนื่อยอยู่เสมอ ตอนกลางวันฉันรู้สึกได้ว่าอ่อนแรงมาก"


เคล็ดลับการนอนหลับเพื่อสุขภาพที่ดี

1. รักษาเวลานอนและตื่น ทั้งวันปกติและวันหยุด

2. สร้างกิจวัตรประจำเพื่อการผ่อนคลายก่อนนอน เช่นแช่น้ำอุ่นแล้วอ่านหนังสือหรือฟังเพลงเบา ๆ

3. สร้างบรรยากาศที่เหมาะแก่การนอนหลับ คือมืด เงียบ สบาย และเย็น

4. นอนบนที่นอนและหมอนที่นุ่มสบาย

5. ใช้ห้องนอนเพื่อการนอนหลับและการหลับนอนเท่านั้น

6. รับประทานอาหารให้เสร็จก่อนเวลานอนอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง

7. ออกกำลังกายเป็นประจำ การออกกำลังกายในช่วงบ่ายแก่ ๆ นั้นดีที่สุดสำหรับการนอนหลับ

9. หลีกเลี่ยงคาเฟอีน นิโคติน และแอลกอฮอล์เมื่อใกล้เวลานอน

The National Sleep Foundation
ข้อมูล จากมูลนิธิการนอนหลับแห่งชาติสหรัฐฯ

วัสดุในการสร้างกล้ามเนื้อของ หุ่นยนต์ที่แข็งแรงกว่าเหล็ก


นักวิทยาศาตร์ได้ ทำการเปิดเผยถึงการพัฒนาวัสดุในการสร้างหุ่นยนต์ โดยเฉพาะในส่วนที่ทำงานคล้ายกับการทำงานของกล้ามเนื้อของคนนั่นเอง วัสดุตัวใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นมานี้มีมีความแข็งแรงมากกว่าเหล็ก และมีควาทนทานเป็นอย่างมากเพราะมีควาทนทานมากกว่าเพชร มากไปว่านั้นน้ำหนักของมันก็มีน้ำหนักเบามาก ซึ่งวัสดุชิ้นนี้มีความเหมาะสมเป็นอย่างมากต่อการสร้างกล้ามเนื้อเทียมให้ กับหุ่นยนต์

เรย์ บอทแมน นักวิทยาศาสตร์ที่ทำการศึกษาค้นคว้าและพัฒนาเกี่ยวกับเทคโนโลยีวัสดุ ของมหาวิทยาลัยเทกซัส ในรัฐดาลัส พร้อมกับทีมงานของเขา คือผู้พัฒนาวัสดุที่มีประสิทธิภาพสูงในการสร้างหุ่นยนต์วัสดุตัวใหม่นี้ เป็นการพัฒนาขึ้นมาโดยใช้เทคนิคในการนำเอาท่อขนาดเล็กๆจำนวนหนึ่งที่มีความ ยืดหยุ่นสูงมาม้วนพันกันเป็นลักษณะเหมือนริบบิ้น และทำการสอดสานกันไปมา ซึ่งวิธีการพันแบบนี้จะทำให้เส้นวัสดุที่ได้สามารถขยายและยืดหยุ่นได้ถึง 220 % ถ้ามีกระแสไฟฟ้าเข้า ไปในระบบ และก็จะกลับมาสู่สภาวะปกติถ้ามีการนำเอากระแสไฟฟ้าออกไป ซึ่งลักษณะการยืดหยุ่นของวัสดุตัวนี้ทำได้ในเวลาเพียงไม่กี่มิลลิวินาที

ซึ่งกลุ่มของท่อเล็กๆเป้นจำนวนมาก เมื่อมีการนำมาพันรวมตัวกันก็จะทำงานคล้ายกับเส้นใยของกล้ามเนื่อเทียม ที่สำคัญวัสดุตัวนี้จะยังคงความคงทนและแข็งแรงถึงแม้จะมีการยืดยาวออกไปก็ ตาม มากไปว่านั้นวัสดุชนิดนี้จะสามารถรักษาสภาพได้ในอณหภูมิระหว่าง -196 ถึง 1538 องศาเซลเซียสที่เป็นจุดหลอมละลายของเหล็กเลยทีเดียว นั่นก็หมายความว่าหุ่นยนต์ที่มีโครงสร้างเป็นวัสดุชนิดนี้จะสามารถทำงานใน สภาพแวดล้อมที่รุนแรง และอันตรายได้อย่างทนทานดีเยี่ยม

วัสดุชนิดใหม่นี้ได้ถูกสร้างออกมาในรูปแบบของเส้นใยที่สาน กันอยู่และมีเยื่อหุ้มชั้นนอกสุด และภายในท่อเล็กเหล่านั้นจะมีอากาศไหลเวียนอยู่ภายในเหมือนเป็นเอโร่เจล ที่สามารถช่วยสร้างความยืดหยุ่นในกับวัสดุได้เป็นอย่างดี โดยน้ำหนักของวัสดุตัวนี้จะอยู่ที่ 1 กรัมต่อ 30 ตารางเมตร

จอห์น แมดเดน นักวิศวกรไฟฟ้า จากมหาวิทยาลัยบริทิชโคลัมเบีย ได้ออกความคิดเห็นเกี่ยวกับวัสดุตัวใหม่นี้ว่า การที่วัสดุตัวนี้มีความยืดหยุ่นที่สูง และความหนาแน่นที่ต่ำจะทำให้วัสดุตัวนี้เหมาะกับการสร้างอุปกรณ์หรือยาน อวกาศที่ต้องไปทำงานในอวกาศ เพราะการที่มีน้ำหนักที่เบาและคุณสมบัติด้านอื่นๆทีดีนั้นจะทำให้การส่ง ยานอกสู่ห้วงอวกาศมีปริทธิภาพมากขึ้นทั้งในแง่ของค่าใช้จ่าย พลังงานที่ใช้ และการบรรทุกของขึ้นไปอวกาศก็จะทำได้มากขึ้น

ที่มา

http://www.newscientist.com/article/dn16806-robots-could-flex-muscles-that-are-stronger-than-steel.html?DCMP=OTC-rss&nsref=online-news

วัสดุชนิดใหม่ที่อาจช่วยลดการสูญเสียพลังงาน ทั่วโลกได้ นักวิทยาศาสตร์ที่ University of Liverpool และ Durham University


วัสดุชนิดใหม่ที่อาจช่วยลด การสูญเสียพลังงานทั่วโลกได้
นักวิทยาศาสตร์ที่ University of Liverpool และ Durham University นั้นได้พัฒนาวัสดุใหม่สำหรับความเข้าใจที่เพิ่มสูงขึ้นของวิธีการที่ตัวนำ กระแสไฟฟ้านั้นสามารถนำมาใช้เพื่อที่จะส่งผ่านไฟฟ้าไปเพื่อพื้นที่ที่มีสิ่ง ก่อสร้างและช่วยลดการสูญเสียพลังงานทั่วโลกได้

ทีมวิจัยได้พัฒนาวัสดุจากโมเลกุลที่มีรูปร่างเหมือนลูกฟุตบอลที่เรียกว่า carbon60 เพื่อที่จะสาธิตว่าตัวนำไฟฟ้า - ธาตุหนี่งๆ, โลหะผสมหรืออัลลอยที่ไม่ต่อต้านกับทางเดินของกระแสไฟฟ้าที่มั่นคง - อาจทำงานที่อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์ในเขตเมืองต่างๆ

ตัวนำไฟฟ้านั้นถือว่าเป็นหนึ่งในการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน โลกและในวันนี้ก็มีบทบาทสำคัญในเทคโนโลยีการแพทย์ด้วย ในปี 1911, ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทดลองสารปรอทแข็งนั้น นักวิทยาศาสตร์ชาวเนเธอร์แลนด์ชื่อว่า Heike Kamerlingh Onnes ได้ค้นพบว่าเวลาที่สารปรอทนั้นถูกทำให้เย็นลงจนถึงอุณหภูมิที่ต่ำแล้ว กระแสไฟฟ้าสามารถผ่านมันด้วยกระแสไหลที่มั่นคงโดยปราศจากการเจอกับแรงต้าน ทานหรือสูญเสียพลังงานในรูปแบบของความร้อนเลย


ตัวนำไฟฟ้านั้นถูกใช้อย่างกว้างขวางในรูปของแม่เหล็กใน magnetic resonance imaging หรือ MRI นั่นเอง ซึ่งช่วยให้นักวิทยาศาสตร์มองเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นภายในร่างกายของมนุษย์ พวกมันยังถูกทดลองในสายรถไฟในรูปของแม่เหล็กเพื่อลดแรงเสียดทานระหว่างราง และตัวรถไฟอีกด้วย ตัวนำไฟฟ้านั้นได้ถูกพัฒนาเพื่อที่จะทำงานได้ภายใต้อุณหภูมิที่สูง แต่โครงสร้างของวัสดุนั้นซับซ้อนมากจนนักวิทยาศาสตร์ยังไม่เข้าใจว่าพวกมัน สามารถทำงานที่อุณหภูมิห้องสำหรับการใช้งานในอนาคตในการมอบพลังงานให้แก่ บริษัทแหละบ้านเรือนต่างๆได้อย่างไร

ศาสตราจารย์ Matt Rossiensky จากแผนกวิชาเคมีของ Liverpool University ได้กล่าวอธิบายว่า“ตัวนำไฟฟ้านั้นเป็นปรากฏการณ์ที่เรากำลังพยายามที่จะทำ ความเข้าใจโดยเฉพาะเรื่องที่มันทำงานในอุณหภูมิที่สูงได้อย่างไร ตัวนำไฟฟ้านั้นมีโครงสร้างที่ซับซ้อนมากและมีความไม่เป็นระเบียบอยู่เต็มไป หมด เราได้ทำวัสดุในรูปแบบของผงที่ไม่ใช่ตัวนำไฟฟ้า ณ อุณหภูมิห้องและมีโครงสร้างอะตอมที่เรียบง่ายกว่ามาก เพื่อที่จะทำให้เราสามารถควบคุมว่าอะตอมสามารถเคลื่อนไหวได้อิสระแค่ไหนรวม ถึงการทดสอบว่าเราสามารถควบคุมวัสดุให้นำไฟฟ้าได้อย่างไร”

ศาสตราจารย์ Kosmas Prassides จาก Durham University กล่าวว่า “ที่อุณหภูมิห้องนั้นอิเล็กตรอนในวัสดุนั้นอยู่ห่างกันมากเกินไปที่จะนำ ไฟฟ้า ดังนั้นเราจึงบีบอัดมันเข้าด้วยกันโดยการใช้อุปกรณ์ที่เพิ่มแรงดันภายในโครง สร้าง เราพบว่าการเปลี่ยนแปลงในวัสดุนั้นฉับพลัน - ซึ่งก็คือเปลี่ยนจากสิ่งที่ไม่ใช่ตัวนำไฟฟ้าไปเป็นตัวนำไฟฟ้า ซึ่งทำให้เรามองเห็นโครงสร้างอะตอมที่ถูกต้องในจุดที่ความเป็นตัวนำไฟฟ้า นั้นเกิดขึ้น

การวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Science และสนับสนุนโดย Engineering and Physical Sciences Research Council (EPSRC) จะทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถค้นหาวัสดุที่มีวัตถุดิบทางเคมีและโครงสร้างที่ ถูกต้องเพื่อที่จะพัฒนาตัวนำไฟฟ้าที่จะลดการสูญเสียพลังงานทั่วโลกได้



ที่มา : http://www.sciencedaily.com/releases/2009/03/090319142407.html

สมองของมนุษย์นั้นอยู่ติด"ขอบความยุ่งเหยิง" นักวิจัยที่มาจาก Cambridge University ได้มอบหลักฐานใหม่

สมองของมนุษย์นั้นอยู่ติด"ขอบความยุ่งเหยิง" วิชาการ.คอม, วิทยาศาสตร์, ชีววิทยา นักวิจัยที่มาจาก Cambridge University ได้มอบหลักฐานใหม่ที่บอกว่า “สมองของมนุษย์นั้นอยู่บนจุดที่เรียกว่า “edge of chaos”(ขอบความยุ่งเหยิง) ณ จุดส่งผ่านระหว่างการความไม่มีแบบแผนและความเป็นแบบแผน การวิจัยได้บอกถึงข้อมูลทางการวิจัยบนความคิดที่เคยเต็มไปด้วยปัญหากับการ พิจารณาตามสมมติฐาน ช่วงวิกฤตกาลที่จัดตั้งขึ้นเอง ( เวลาที่ระบบนั้นจัดตัวเองตามธรรมชาติเพื่อที่จะทำงาน ณ จุดอันตรายระหว่างความเป็นแบบแผนกับความไม่มีแบบแผน ) สามารถเกิดขึ้นจากการปฏิสัมพันธ์ที่ซ้ำซ้อนในระบบกายภาพหลายระบบ ซึ่งก็รวมไปถึงหิมะถล่ม ไฟป่า แผ่นดินไหว และจังหวะการเต้นของหัวใจ อ้างอิงจากการวิจัยครั้งนี้ ซึ่งถูกทำขึ้นโดยทีมวิจัยทีมหนึ่งจาก Cambridge University , the Medical Research Council Cognition & Brain Sciences Unit, และ the GlaxoSmithKline Clinical Unit Cambridge บอกว่า พลศาสตร์ของเครือข่ายสมองมนุษย์นั้นมีบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญร่วมกันกับ ระบบในธรรมชาติที่โดยผิวเผินนั้นแตกต่างกันมาก เครือข่ายการคำนวณที่แสดงถึงคุณลักษณะเหล่านี้ยังเคยแสงถึงหน่วยความจำ (พื้นที่เก็บข้อมูล) ที่เหมาะสมที่สุดและความสามารถในการประมวลผลข้อมูลด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบเกี่ยวกับวิกฤตกาลนั้นสามารถที่จะตอบสนองได้อย่างรวด เร็วและกว้างขวางมากต่อการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในข้อมูลที่ถูกใส่เข้าไป “เนื่องด้วยคุณลักษณะเหล่านี้ ช่วงวิกฤตกาลที่จัดตั้งขึ้นเองนั้นน่าดึงดูดใจในฐานะแม่แบบสำหรับการทำงาน ต่างๆในสมองอย่างเช่นการรับรู้และการปฏิบัติการเพราะว่ามันจะทำให้เราสามารถ สับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็วของภาวะจิตใจที่มีระเบียบแบบแผนเพื่อที่จะตอบสนอง ต่อสภาวะทางสิ่งแวดล้อมที่กำลังเปลี่ยนไป” Manfred Kitzbichler ผู้ร่วมการวิจัยกล่าว เหล่านักวิจัยได้ใช้เทคโนโลยีการถ่ายภาพสมองที่ทันสมัยที่สุดเพื่อที่จะทำ การวัดการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอในความสอดคล้องกันของกิจกรรมระหว่างเครือข่าย การทำงานในพื้นที่ที่แตกต่างกันในสมองของมนุษย์ ซึ่งผลการทดลองของพวกเขาชี้ให้เห็นว่าสมองนั้นทำงานอยู่ภายใต้สถานะของ วิกฤติกาลที่จัดตั้งขึ้นเอง เพื่อที่จะสนับสนุนข้อสรุปนี้นั้น พวกเขายังได้ทำการตรวจสอบความสอดคล้องกันของกิจกรรมในวิธีการทางการคำนวณและ ได้สาธิตว่าข้อมูลที่พวกเขาได้พบในสมองนั้นถูกสะท้อนอย่างถูกต้องในแบบจำลอง ด้วย โดยรวมแล้ว, ผลลัพธ์เหล่านี้ได้รวมเป็นหลักฐานที่ได้เปรียบเรื่องแนวคิดที่ว่าพลศาสตร์ ของสมองมนุษย์นั้นมีอยู่จริงที่จุด edge of Chaos จากคำกล่าวของ Kitzbichler, หลักฐานชิ้นใหม่นี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น “ คำถามต่อไปที่พวกเราวางแผนที่จะจัดการในการทดลองครั้งหน้าก็คือ : วิธีการประเมินของพลศาสตร์นั้นเกี่ยวข้องกับความสามารถในการเรียนรู้หรือ จิตเวชศาสตร์ด้านความผิดปกติของการทำงานในสมองรวมถึงการรักษาอาการเหล่านี้ อย่างไร? ” ในวิทยาศาสตร์ทั่วๆไปนั้น คำๆว่า Edge of Chaos นี้ได้อ้างอิงถึงคำเปรียบเทียบว่า ฟิสิกส์ ชีววิยา เศรษฐศาสตร์ และ ระบบทางสังคมนั้นทำงานในขอบเขตระหว่างความเป็นแบบแผนและความไม่มีแบบ แผ่นอย่างสมบูรณ์หรือความยุ่งเหยิง ซึ่งความซับซ้อนนั้นสูงสุดนั่นเอง
ที่มา : http://www.sciencedaily.com/releases/2009/03/090319224532.html

เลเซอร์กันยุง ซึ่งสามารถป้องกันการแพร่กระจายของโรคมาลาเรียได้ โดยโรคนี้เกิดจากเชื้อปรสิตและมียุงเป็นพาหะ

เลเซอร์กันยุง
นักวิทยาศาสตร์ได้สร้างเลเซอร์เพื่อใช้สำหรับยิงและฆ่ายุง ซึ่งสามารถป้องกันการแพร่กระจายของโรคมาลาเรียได้ โดยโรคนี้เกิดจากเชื้อปรสิตและมียุงเป็นพาหะ ทุกปีจะมีคนเสียชีวิตจากมาลาเรียกว่า 1 ล้านคน
เลเซอร์กันยุงมีการคิดค้นครั้งแรกโดย นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ Lowell Wood ในต้นทศวรรษที่ 1980 แต่ความคิดนี้ไม่ได้มีการสานต่อ ขณะนี้ Nathan Myhrvold ผู้บริหารของ Microsoft ได้นำแนวความคิดเรื่องเลเซอร์กันยุงนี้มาคิดค้นต่อ เนื่องจาก Bill Gates ได้ขอให้เขาค้นหาวิธีใหม่ๆ ในการต่อต้านมาลาเรีย นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ Jordin Kare จาก Lawrence Livermore National Laboratory, Wood, Myhrvold และผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ ได้พัฒนาเครื่องเลเซอร์ชนิดพกพาซึ่งสามารถตรวจจับยุงและฆ่ามันทีละตัวได้ การพัฒนาเทคโนโลยีนี้ เพื่อช่วยสร้างแนวป้องกันเลเซอร์รอบบ้านหรือชุมชน ซึ่งจะสามารถฆ่ายุงหรือกันพวกมันออกไปได้ หรืออีกทางเลือกหนึ่งนำไปผลิตเครื่องเลเซอร์ที่บินได้แบบวิทยุบังคับ ซึ่งจะสามารถดักจับหรือติดตามเหล่าแมลงได้ ช่วยให้บรรยากาศรอบๆ ปราศจากแมลงเหล่านี้ได้
นักวิจัยได้ทำการปรับความเข้มของเลเซอร์เพื่อให้ฆ่ายุงได้โดยไม่ทำอันตราย ต่อแมลงชนิดอื่น โดยเฉพาะต่อคน และระบบนี้ยังสามารถแยกเพศของยุงได้ด้วยว่าเป็นตัวผู้หรือตัวเมียโดยอาศัย ความถี่ในการเคลื่อนไหวของปีก เนื่องจากยุงเพศเมียเท่านั้นที่จะเป็นพาหะนำเชื้อปรสิตของโรคมาลาเรียได้
ในการทดลองระบบนี้จะพุ่งเป้าไปที่ยุงด้วยแสงแฟลช และใช้เลนส์ซูมเพื่อเก็บข้อมูลเข้าสู่คอมพิวเตอร์ ทุกครั้งที่แสงเลเซอร์ตรวจจับยุงได้ คอมพิวเตอร์จะส่งสัญญาณให้รู้เป็นเสียงปืน เมื่อยิงถูกยุงจะเกิดการประทุและลุกไหม้จนมันตายและตกลงสู่พื้น โดยจะมีควันเล็กน้อยเกิดขึ้น
การใช้เลเซอร์กันยุงนี้นับเป็นหนทางหนึ่งในบรรดาวิธีใหม่ๆ ที่นำมาฆ่าแมลงที่เป็นพาหะของโรค นอกเหนือจากวิธีป้องกันเดิมๆ เช่น การฉีดวัคซีนในคน เป็นต้น แนวความคิดอื่นๆ ประกอบด้วยการสร้างอุปกรณ์ที่รบกวนประสาทสัมผัสด้านต่างๆ เช่น การมองเห็น การได้กลิ่น และการรับรู้อุณหภูมิของยุง การให้ยุงกินเลือดที่เป็นพิษ ทำให้ยุง ติดเชื้อจากแบคทีเรีย หรือการทำให้ยุงกลายพันธ์จนปลอดเชื้อมาลาเรีย
ที่มา
http://www.physorg.com/news156423566.html

คอมพิวเตอร์สัมผัสที่หก

คอมพิวเตอร์สัมผัสที่หก
นักวิจัยของสถาบันวิจัยทางด้านเทคโนโลยีชั้นนำของโลกอย่าง MIT (Massachusetts Institute of Technology) ประเทศ สหรัฐอเมริกา ได้ทำการประดิษฐ์อุปกรณ์ที่เป็นนวัตกรรมที่ล้ำสมัยอย่างเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่สามารถสวมใส่ได้กับร่างกายคนเรา และยังมีความสามารถในการรับรู้ถึงการสั่งของผู้ใช้ผ่านทางการสัมผัสหรือการ สั่งงานจากท่าทางของผู้ใช้งาน ซึ่งเป้าหมายของการพัฒนาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในลักษณะนี้ขึ้นมาก็เพื่อต้องการ ประดิษฐ์อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ทำงานด้วยการสั่งงานที่ปราศจากหน้าจอแสดงผล และคีย์บอร์ดที่รับคำสั่งจากการพิมพ์ป้อนเข้าไปในเครื่อง
ซึ่งการใช้งานของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์สัมผัสที่หกนี้ก็แสนจะ ง่าย เพียงแต่เราสวมใส่เครื่องนี้เข้าไปบริเวณคอหรือสวมไปบริเวณศรีษะแแล้วแต่การ ต้องการใช้งาน และจะสามารถใช้พื้นที่เรียบที่ใดก็ได้ทำหน้าเป็นจอแสดงผลหรือแป้นพิมพ์ที่ ใช้สำหรับแสดงผลหรือป้อนข้อมูล คำสั่งเข้าไปยังตัวอุปกรณ์ และการป้อนคำสั่งเข้าไปก็ใช้เพียงท่าทางหรือการขยับนิ้วในแบบต่างๆ
เมื่อใดก็ตามที่คุณต้องการที่จะถ่ายรูปสิ่งที่คุณจ้อง มองอยู่ คุณก็เพียงแค่ใช้นิ้ววาดรูปสี่เหลี่ยมเพื่อตีกรอบสิ่งที่จะถ่ายภาพ กล้องก็จะทำการจับภาพที่คุณมองให้โดยทันที และถ้าต้องการดูเวลาเหมือนกับการดูนาฬิกานั้น เราก็สามารถใช้เพียงนิ้ววาดรูปเป็นรูปวงกลม ตัวเครื่องฉายภาพของตัวอุปกรณ์ก็จะทำหน้าที่ฉายนาฬิกาแสดงผลเป็นเวลาไปยัง พื้นผิวเรียบที่ใช้ปลายนิ้วในการวาดป้อนคำสั่งเข้าไป
สำหรับในขั้นตอนการพัฒนาขณะนี้ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์สัมผัสที่หก หรือ sixth sense device มีราคาต้นทุนในการสร้างอยู่ที่ ประมาณ 350 ดอลล่าร์สหรัฐต่อชิ้น โดยจะมีอุปกรณ์หลักๆคือกล้องเว็บแคมที่ใช้ในการจับภาพ ส่วนที่เป็นโทรศัพท์มือถืออัจฉริยะที่สามารถเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตได้โดย โทรศัพท์ชนิดนี้มีลักษณะเหมือนเป็นเครื่องประดับที่ผู้ใช้สามารถสวมใส่ได้ อย่างลงตัวและกลมกลืน และตัวเครื่องฉายภาพ (โปรเจคเตอร์) ขนาดเล็ก โดยทั้งหมดจะมีการเชื่อมต่อติดกันและอุปกรณ์เหล่านี้สามารถหาซื้อได้ตามท้อง ตลาดทั่วไป
Pattie Maes หนึ่งในทีมนักวิจัยผู้พัฒนาคอมพิวเตอร์สัมผัสที่หกกล่าวว่า อุปกรณ์ตัวนี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้ชีวิตได้เหมือนกับทอม ครูซในภาพยนต์เทคโนโลยีเรื่อง Monority Report ที่สามารถเชื่อมต่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้โดยใช้เทคโนโลยีที่สุดแสนจะทัน สมัย
Pattie ยังกล่าวอีกว่า ระบบของอุปกรณ์ยังสามารถสร้างแป้นพิมพ์สำหรับป้อนข้อมูลให้เป็นตรงหน้า เพียงแค่ตรงหน้าของผู้ใช้เป็นพื้นผิวที่เรียบ มากไปกว่านั้นในเวลาที่คุณจับจ่ายซื้อของในห้างสรรพสินค้าระบบจะยังสามารถนำ เอาราคาของสินค้าที่อยู่บนชั้นวางขายและที่อยู่ตรงหน้าของคุณไปเปรียบเทียบ กับราคาสินค้าในที่อื่นๆผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ตและสามารถแสดงผลให้ ทราบทันทีอีกด้วย
หรือถ้าคุณต้องการอ่านข่าวในแต่ละวันระบบก็จะสามารถแสดง เนื้อหาข่าววันต่อวันให้คุณได้อ่านทันทีเหมือนกับคุณนั่งเปิดคอมพิวเตอร์ อ่านข่าวจากอินเตอร์เน็ต โดยระบบจะทำการแสดงข่าวบนพื้นผิวตรงหน้าผู้ใช้ที่มีลักษณะเรียบและว่างที่ ง่ายต่อการอ่าน
มากไปกว่านั้น อุปกรณ์ตัวนี้จะช่วยในการหาข้อมูลล่าสุดที่ผู้ใช้ต้องการไม่ว่าจะเป็น ตั๋วเครื่องบิน ตารางการบิน รายชื่อหนังสือออกใหม่ หรือแผนที่ในการเดินทางท่องเที่ยว หรือกิจกรรมอะไรก็ตามที่ต้องการข้อมูลข่าวสารและความบันเทิงเหมือนกับการใช้ งานคอมพิวเตอร์ที่ตั้งที่โต๊ะกันเลยทีเดียว
ซึ่งในขณะนี้ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์สัมผัสที่หกกำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาที่ใกล้ความ สมบูรณ์แบบมาก และน่าจะใช้เวลาไม่เกิน 10 ปีข้างหน้าคนทั่วไปจะมีการใช้งานอุปกรณ์ที่ทันสมัยแบบนี้อย่างคอมพิวเตอร์ สัมผัสที่หกเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนทั่วไป
ที่มา
http://www.foxnews.com/story/0,2933,489444,00.html?sPage=fnc/scitech/innovation
http://www.google.com/hostednews/afp/article/ALeqM5hYZRG3kWaXmUlch4ueYKWstoicMA